ฉ้อโกงธรรมดา กับ ฉ้อโกงประชาชน ต่างกันอย่างไร?

27 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ฉ้อโกงธรรมดา กับ ฉ้อโกงประชาชน ต่างกันอย่างไร?

ฉ้อโกงธรรมดา กับ ฉ้อโกงประชาชน ต่างกันอย่างไร? 

เวลามีคนถูกหลอกให้โอนเงินหรือมอบทรัพย์สิน เรามักเรียกกันว่า โดนโกง แต่ในกฎหมายอาญาไทยแบ่งการโกงออกเป็นสองแบบใหญ่ ๆ คือ ฉ้อโกงธรรมดา กับ ฉ้อโกงประชาชน สองคำนี้ดูคล้ายกัน แต่มีความหมายและโทษไม่เหมือนกัน บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าแต่ละแบบคืออะไร ต่างกันตรงไหน และถ้าเจอเหตุการณ์ลักษณะไหนต้องรีบจัดการอย่างไร

ฉ้อโกงธรรมดา คืออะไร
กฎหมายอาญามาตรา 341 บอกไว้ว่า ถ้าใคร หลอก คนอื่นด้วยข้อความเท็จ หรือปิดบังความจริงที่ควรบอก เพื่อให้เหยื่อ เชื่อ แล้วยอมโอนเงินหรือทรัพย์ให้ ถือว่าคนนั้นทำผิดฐานฉ้อโกงธรรมดา ตัวอย่างเช่น ซื้อโทรศัพท์มือสองผ่านแชตส่วนตัว คนขายบอกเครื่องสภาพดีทั้งที่รู้ว่าพังหนัก ผู้ซื้อเชื่อและโอนเงินแบบนี้เข้าข่ายทันที โทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งสองอย่าง

ฉ้อโกงประชาชน คืออะไร
ถ้าการหลอกลวงนั้นไม่ได้เจาะจงใครคนใดคนหนึ่ง แต่ ประกาศหรือโฆษณาเปิดกว้าง ให้คนทั่วไปเห็น กฎหมายถือว่าร้ายแรงขึ้น เรียกว่า ฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343 ตัวอย่างเช่น เปิดเพจเฟซบุ๊กขายทองราคาถูกเกินจริง ยิงโฆษณาให้คนทั้งประเทศเห็น พร้อมเลขบัญชีให้รีบโอน พฤติกรรมแบบนี้มุ่งหวังหลอกคนหมู่มาก แม้สุดท้ายจะมีเหยื่อโอนเงินจริงแค่คนเดียว ก็ยังถือเป็นฉ้อโกงประชาชน โทษสูงสุดหนักกว่า คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งสองอย่าง

ทำไมต้องแยกสองแบบนี้
สาเหตุหลักอยู่ที่ ขอบเขตความเสียหาย ถ้าหลอกคนแค่ไม่กี่คน ความเสียหายจำกัดวง แต่ถ้าหลอกแบบกระจายสู่สาธารณะ ความเสียหายจะลุกลามเร็วและกว้าง กฎหมายจึงกำหนดโทษแรงขึ้นเพื่อป้องปราม และเพื่อให้ตำรวจ‑อัยการเริ่มคดีได้แม้ไม่มีใครร้องทุกข์

ตกลงดูอย่างไรว่าคดีไหนเป็นชนิดไหน
ช่องทางสื่อสาร ถ้าเป็นแชตส่วนตัว โทรศัพท์ หรือพูดต่อหน้าแบบจำกัดคน มักเป็นฉ้อโกงธรรมดา แต่ถ้าโพสต์เพจสาธารณะ เว็บบอร์ด หรือไลฟ์สตรีมที่ใครก็เข้าดูได้ มักเป็นฉ้อโกงประชาชน กลุ่มเป้าหมายถ้าข้อความมุ่งไปยังใครก็ได้ที่ผ่านมาพบไม่ระบุชื่อจำกัดสิทธิ แปลว่าเล็งประชาชน จำนวนคนไม่ใช่ตัวชี้ขาด ถึงมีเหยื่อหนึ่งคน แต่ถ้าวิธีสื่อสารเป็นสาธารณะก็เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนยอมความได้หรือไม่

ฉ้อโกงธรรมดา เป็นคดีที่เหยื่อต้องแจ้งความภายใน 3 เดือนหลังรู้เรื่อง หากเกินกำหนดจะฟ้องไม่ได้ (กฎหมายเรียกว่าความผิดยอมความได้)
ฉ้อโกงประชาชน ไม่ใช่คดีอันยอมความ เพราะกระทบคนหมู่มาก ตำรวจสามารถสืบสวนเองได้ ต่อให้เหยื่อไม่ร้องทุกข์ก็ตามตัวอย่างง่าย ๆ

เพื่อนในไลน์บอกขายบัตรคอนเสิร์ตราคาถูก ส่งรูปตั๋วหลอก เราเชื่อและโอนเงิน นี่คือฉ้อโกงธรรมดาเพจเฟซบุ๊กเปิดสาธารณะประกาศลงทุนคริปโทฯ กำไรวันละ 10% มีคนแชร์ต่อไปทั่ว นี่คือฉ้อโกงประชาชนหากเพจดังกล่าวแอบอ้างว่าเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติปลอม ๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อ พฤติกรรมยิ่งหนัก โทษอาจเพิ่มตามมาตรา 342 (ปลอมตัวเป็นคนอื่น)
 
จะป้องกันหรือแจ้งความอย่างไร
เก็บหลักฐานให้ครบ เช่น ภาพหน้าจอโพสต์ แชต รายการไลฟ์ เอกสารรับเงิน และสลิปโอน ถ้าเป็นฉ้อโกงธรรมดา รีบแจ้งความภายใน 3 เดือน
 
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า
หลอกตัวต่อตัว เป็นฉ้อโกงธรรมดา (โทษเบากว่า, ต้องแจ้งความเร็ว) หลอกแบบประกาศสาธารณะ เป็นฉ้อโกงประชาชน (โทษหนัก, ตำรวจเอาผิดได้แม้ไม่มีคำร้อง) จำนวนเหยื่อไม่สำคัญเท่าช่องทางสื่อสาร

คำพิพากษาฎีกาที่ 1028/2567
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงตาม ม. 341 แต่คำบรรยายฟ้องไม่ปรากฏว่า ตั้งแต่ต้น จำเลยมี “เจตนาทุจริต” หลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์ ศาลฎีกายกฟ้อง ชี้ว่า การไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายหลัง ≠ ฉ้อโกง หากพิสูจน์เจตนาหลอกลวงล่วงหน้าไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 1093/2568
จำเลยโพสต์ชวนลงทุน ฝากเงินรับดอกสูง ในกลุ่ม LINE สาธารณะ เหยื่อ 2 รายโอนเงินหลายครั้ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เป็นการหลอกประชาชนไม่จำกัดตัวเข้าข่ายมาตรา 343 ผู้เสียหายมีฐานะผู้เสียหายโดยนิตินัยจึงมีอำนาจฟ้อง แต่ละการโอนถือเป็นกรรมแยก ความผิดหลายกรรมเพราะเกิดผลเสร็จครบองค์ประกอบทุกครั้งที่เหยื่อโอน

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ใช่คำปรึกษากฎหมายเฉพาะกรณี หากต้องการความเห็นเชิงลึกควรปรึกษาทนายความ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้