ทำไม กฎหมายสมรสเท่าเทียม จึงมีความจำเป็น?

Last updated: 25 พ.ค. 2568  |  55 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทำไม กฎหมายสมรสเท่าเทียม จึงมีความจำเป็น?

ทำไม กฎหมายสมรสเท่าเทียม จึงมีความจำเป็น?

คุณกำลังวางแผนจับมือคนรักก้าวสู่ชีวิตคู่ภายใต้กฎหมายใหม่หรือไม่ เพราะตั้งแต่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นมา สมรสเท่าเทียมได้กลายเป็นสิทธิที่คู่รักทุกเพศในประเทศไทยคว้าถึงได้จริง ยืนยันโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2567 ซึ่งปรับคำว่า ชาย หญิง ให้กลายเป็น บุคคล อย่างเท่าเทียม บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกแง่มุมที่ต้องรู้ตั้งแต่ขั้นตอนการจดทะเบียน เอกสารสำคัญ สิทธิด้านสินสมรส ภาษี สวัสดิการ ไปจนถึงคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย เพื่อให้คุณเตรียมตัวสู่พิธีสมรสอย่างมั่นใจและไร้กังวลในยุคแห่งความเสมอภาคนี้
 

หลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24 ) พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับใช้เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ประเทศไทยจึงก้าวขึ้นเป็นชาติแรกในอาเซียนที่รับรอง สมรสเท่าเทียม อย่างเต็มรูปแบบ เปิดทางให้บุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไปไม่จำกัดเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้โดยใช้ขั้นตอนง่าย ๆ เพียงยื่นคำร้อง พร้อมบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และพยานสองคนที่สำนักงานเขตหรืออำเภอ ทั้งนี้กฎหมายใหม่ยังรับรองสิทธิด้านสินสมรส มรดก ลดหย่อนภาษี สวัสดิการประกันสังคม และการรับบุตรบุญธรรมร่วม เพื่อช่วยอุดช่องว่างทางกฎหมาย และเพิ่มความคุ้มครองครอบครัวหลากหลายเพศ ทั้งยังสอดคล้องกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ยกระดับภาพลักษณ์ไทยบนเวทีโลกอย่างชัดเจน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567

โดยเปลี่ยนถ้อยคำ ชาย หญิง สามี ภริยา เป็น บุคคล คู่สมรส ใน บรรพ 5 ครอบครัว และบางมาตราใน บรรพ 6 มรดก (มาตรา 1448, 1458, 1461, 1476, 1516, 1629 ฯลฯ)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับแก้ไขแล้ว)  ยังคงเป็นตัวบทแม่บทว่าด้วยเงื่อนไขการสมรส สินสมรส สินส่วนตัว การหย่า การรับบุตรบุญธรรมร่วม มรดก และหน้าที่เลี้ยงดู

พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 และ กฎกระทรวง ประกาศกรมการปกครอง ว่าด้วยแบบคำร้อง คร.2 และ คร.3 (แก้ไขปี 2568) กำหนดขั้นตอนและเอกสารจดทะเบียนสมรสเพศเดียวกันกับนายทะเบียนเขตและอำเภอ

พระราชบัญญัติการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 (และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553) คู่สมรสทุกเพศสามารถยื่นขอ รับบุตรร่วม ภายหลัง กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผล

ประมวลรัษฎากร ประกาศกรมสรรพากรปี 2568 แก้ไข มาตรา 42(17) และ 47(2) ให้ลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท และยกเว้นภาษีมรดกแก่คู่สมรสเพศเดียวกันเทียบเท่าคู่ต่างเพศ

พระราชบัญญัติภาษีมรดก พ.ศ. 2558 (แก้ไขนิยาม คู่สมรส ปี 2568) ยกเว้นภาษีมรดกสูงสุด 100 ล้านบาทเมื่อรับสินทรัพย์จากคู่สมรสที่ถึงแก่กรรม

พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 (แก้ไขครั้งที่ 4 พ.ศ. 2562 และประกาศเพิ่มเติม ปี 2568) โดยขยายสิทธิเงินสงเคราะห์บุตร เงินสงเคราะห์ทายาท และบำเหน็จชราภาพให้คู่สมรสเพศเดียวกัน

ทั้งนี้ ร่างแก้ไข พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง เกี่ยวกับการขอสัญชาติภายหลังสมรส และ กฎหมายอุ้มบุญ อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อให้สอดรับ กฎหมายสมรสเท่าเทียม

สิทธิและหน้าที่หลังจดทะเบียน

1. สถานะ คู่สมรส และสินสมรส
ทรัพย์สินที่หามา หลังสมรส เป็น สินสมรส กรรมสิทธิ์ร่วม
แต่ละฝ่ายจัดการสินสมรสได้ ต้องได้รับความยินยอมอีกฝ่าย ตามมาตรา 1476

2. สิทธิทางภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ได้มาก่อนปี 2568 ให้ยื่นเดี่ยวเท่านั้น  เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้สามารถลดหย่อนได้ 60,000 บาท

ภาษีมรดก ก่อนปี 2568 ไม่ใช่ทายาทโดยธรรม หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้ได้จะได้รับยกเว้น 100 ล้านบาทแรกเทียบเท่าคู่ชายหญิง

ภาษีโอนอสังหา ก่อนปี 2568 จ่ายเต็มปกติหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้สามารถใช้อัตราพิเศษคู่สมรสได้ 

3. สิทธิประกันสังคม และสวัสดิการรัฐ
สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลคู่สมรสและบุตรได้

4. การรับบุตรบุญธรรมร่วม
สามารถยื่นคำร้องต่อกรมพัฒนาสังคมฯ ได้ทั้งคู่ แต่เดิมให้เฉพาะ สามีภริยา

เตรียมเอกสาร ดังนี้ 

  1. บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต  
  2. แบบคำร้อง คร2 
  3. พยาน 2 คน ต่องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป  
  4. เอกสารสถานะโสด หรือใบหย่า 
  5. กรณีต่างชาติ ต้องมีหนังสือรับรองสถานะสมรสแปลไทยและรับรองกงสุลกระทวงการต่างประเทศ

สถานที่จดทะเบียน และค่าใช้จ่ายต่างๆ

1. สำนักงานเขต หรืออำเภอ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

2. จดนอกสถานที่ต้องจัดรถให้นายทะเบียนและเสียค่าธรรมเนียม 200 บาทต่อใบ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้